Based on: https://reformationproject.org/case/levitical-prohibitions/
อ่าน ลนต. 20:1–27
พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมมีบัญญัติทั้งหมด 613 ข้อที่คนของพระเจ้าพึงปฎิบัติตาม ในเลวีนิติมีข้อบังคับเกี่ยวกับเครื่องบูชา อาหารที่สะอาดและไม่สะอาด โรค สารคัดหลั่ง ข้อห้ามทางเพศ และข้อปฎิบัติของเหล่าปุโรหิต
แต่พันธสัญญาใหม่สอนว่า พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนชีพ เพื่อให้บัญญัติทั้งหมดสมบูรณ์ คริสเตียนจึงไม่จำเป็นต้องปฎิบัติตามกฏเกณฑ์เหล่านั้น ตามพระคัมภีร์โรม 10:4 ที่กล่าวว่า “พระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติ” และโคโลสี 2:13–14 ที่ได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้า “ทรงให้อภัยการละเมิดทั้งหลายของเรา พระองค์ทรงฉีกเอกสารหนี้ที่มีคำสั่งต่าง ๆ ซึ่งต่อสู้และขัดขวางเรา และทรงขจัดไปเสียโดยตรึงไว้ที่กางเขน”
“เมื่อพระองค์ตรัสถึงพันธสัญญา ใหม่ พระองค์ก็ทรงถือว่าพันธสัญญาเดิมนั้นล้าสมัยแล้ว สิ่งที่กำลังล้าสมัยและเก่าไปนั้นก็ใกล้จะเสื่อมสูญ”
— ฮีบรู 8:13

หลายคนคิดว่ากฎที่ว่าด้วยเรื่องเพศทั้งหมดในเลวีนิติยังคงมีผลบังคับใช้ภายใต้พันธสัญญาใหม่ แต่เลวีนิติก็มีการห้ามมีเพศสัมพันธ์กับสตรีที่มีประจำเดือนด้วย (เลวีนิติ 18:19) ซึ่งคริสเตียนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าเป็นบาป
คนอื่นอ้างว่า เพราะพระคัมภีร์พูดถึงพฤติกรรมรักร่วมเพศว่า “เป็นสิ่งพึงรังเกียจ” จึงสรุปได้ว่า การกระทำนี้เป็นบาปมหันต์ แต่อาจจะลืมนึกไปว่า ในพระคัมภีร์ คำนี้ถูกใช้กับพฤติกรรมหลายประเภท ที่คนในโลกปัจจุบันเองก็ยอมรับและทำตามอย่างแพร่หลาย เช่น การคิดดอกเบี้ยเงินกู้ (เอเสเคียล 18:13) การจุดเครื่องหอม (อิสยาห์ 1:13) และการรับประทานหมู กระต่าย หรือกุ้งหอยปู (เฉลยธรรมบัญญติ 14:3–21)
และยังมีพฤติกรรมหลายอย่างที่เราทำเป็นประจำ แต่ในพระคัมภีร์ การกระทำเหล่านั้นมีโทษถึงตาย เช่น การทำงานในวันสะบาโต (อพยพ 35:2) หรือการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ (เอเสเคียล 18:13) ที่สำคัญ พระคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาเดิม ไม่ได้แยกกฏเกณฑ์ออกเป็นหมวดหมู่ ระหว่าง “ศาสนพิธี” หรือ “ศีลธรรม”
นักวิชาการภาษาฮีบรู Saul Olyan และนักวิชาการรับบี Daniel Boyarin กล่าวว่า เลวีนิติ 18:22 และ 20:13 ห้ามไม่ให้ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเฉพาะทางทวารหนัก แต่ไม่ได้ห้ามในรูปแบบอื่น เหตุผลคือ การมีเพศสัมพันธ์แบบดังกล่าวเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับผู้ชาย เพราะฝ่ายรับจะถูกมองว่าเหมือน “ผู้หญิง” ซึ่งเป็นชนชั้นด้อยกว่าในสังคมชายเป็นใหญ่
ในยุคศตวรรษที่ 1 ฟิโลได้ประณามผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเด็กชาย (pederasty) และกล่าวว่าเด็กชายเหล่านั้นจะมีปมเพราะ “โดนกระทำเฉกเช่นผู้หญิง” และผู้ชายฝ่ายรุกก็เปรียบเหมือนเป็น “ครูผู้ชักนำไปสู่หนทางแห่งความชั่วร้าย คือความไม่แมนและ… ทำตัวเหมือนผู้หญิง”
ทัลมุด ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายยิวจากช่วงศตวรรษแรก ๆ ของคริสตศักราช ได้แยกการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักออกจากการมีเพศสัมพันธ์แบบอื่น ๆ ระหว่างผู้ชายด้วยกัน โดยชี้แจงว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักเท่านั้นที่เป็นสิ่งต้องห้ามในเลวีนิติ ส่วนเพศสัมพันธ์ของเพศเดียวกันในรูปแบบอื่น ๆ เป็นเรื่องกามราคะที่แยกต่างหากและไม่หนักหนาเท่า
จึงกล่าวได้ว่า การห้ามไม่ให้ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันทางทวารหนัก เพราะขัดต่อบรรทัดฐานชายเป็นใหญ่ ที่มักด้อยค่าเพศหญิง
เลวีนิติ 24:22 สั่งให้ชาวอิสราเอล “จงมีกฏหมายอย่างเดียวกันสำหรับคนต่างด้าว และสำหรับคนท้องถิ่น” ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพันธสัญญาเดิม Richard Elliott Friedman และ Shawna Dolansky ให้เหตุผลว่า พระคัมภีร์ห้ามผู้ชายมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักกับผู้ชายด้วยกัน “เพราะตามความเข้าใจของวัฒนธรรมต่าง ๆ ในยุคนั้น การกระทำดังกล่าวจะทำให้ผู้ชายที่เป็นฝ่ายรับเสื่อมเสียทั้งเกียรติ และสถานะของเขาภายใต้พระบัญญัติของพระเจ้า” ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรับหรือฝ่ายรุก ความผิดจึงตกต่อทั้งคู่เท่า ๆ กัน
อีกทั้ง เลวีนิติไม่ได้ห้ามผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงด้วยกัน ดั้งนั้น ความเชื่อที่ว่า พระเจ้าห้ามผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน เพราะการกระทำดังกล่าวละเมิดหลักชายคู่หญิง (gender complementarity) จึงไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่นัก
แม้ว่าค่านิยมชายเป็นใหญ่จะส่งผลต่อเนื้อหาของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ค่านิยมนี้ก็ไม่ได้มีเฉพาะในชนชาติอิสราเอล และแม้ว่ากฎบัญญัติพันธสัญญาเดิม จะไม่ได้ให้สิทธิอำนาจผู้หญิงเทียบเท่ากับผู้ชาย แต่พระคัมภีร์เดิมก็มีส่วนที่ต้านกระแสวัฒนธรรมด้วย เช่น ผู้นำที่เป็นผู้หญิง
นอกจากนี้ ในภาคพันธสัญญาใหม่ มีผู้นำคริสตจักรหลายคนที่เป็นผู้หญิง เช่น ลิเดีย, เฟบี, ยูโอเดีย และสินทิเค ยิ่งไปกว่านี้ ในจดหมายถึงคริสตจักรกาลาเทีย เปาโล ได้กล่าวข้อความต้านกระแสวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างหญิงชาย
“จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระเยซูคริสต์”
— กาลาเทีย 3:28

ในมัทธิว 19:8 พระเยซูตรัสว่า “โมเสสยอมให้ท่านทั้งหลายหย่าภรรยา เพราะใจของท่านแข็งกระด้าง”
John Piper บอกว่า “พระบัญญัติบางข้อในพันธสัญญาเดิม ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า ที่สามารถใช้ได้กับทุกสมัย กฎเหล่านั้นถูกสร้างไว้เพื่อกำกับความบาปของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ในช่วงเวลานั้นๆ” จึงเป็นเหตุว่า ทำไมคริสเตียนที่ผ่านมาจึงไม่เห็นด้วย กับเรื่องทาสหรือการมีภรรยาหลายคน ซึ่งควรใช้แนวคิดดังกล่าวกับแนวคิดชายเป็นใหญ่ เช่นกัน
จะเห็นได้ว่า พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เป็นพยานให้คริสเตียน ถอยห่างจากแนวคิดชายเป็นใหญ่ ไปสู่ความเสมอภาคทางเพศ (กาลาเทีย 3:28) ซึ่งหมายความว่า คริสเตียนจึงไม่ควรนำแนวความคิดของข้อห้ามในเลวีนิติมาใช้ เช่นกัน
เลวีนิติห้ามไม่ให้ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันทางทวารหนัก กฏดั่งกล่าวมีรากฐานอยู่ในแนวคิดชายเป็นใหญ่ ที่ให้ความสำคัญกับบทบาททางเพศ แต่ในพันธสัญญาใหม่เราถูกสอนให้หลุดพ้นจากความเชื่อเหล่านี้