Based on: https://reformationproject.org/case/romans/
อ่าน รม. 1:26-32
“เพราะเหตุนี้ พระเจ้าทรงปล่อยให้เขามีกิเลสตัณหาอันน่าอัปยศ พวกผู้หญิงของเขาก็เปลี่ยนจากเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ให้ผิดธรรมชาติไป ส่วนผู้ชายก็เลิกมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงให้ถูกตามธรรมชาติเช่นกัน และเร่าร้อนด้วยไฟราคะตัณหาที่มีต่อกัน ผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันประกอบกิจอันน่าละอายอย่างยิ่ง เขาจึงได้รับผลกรรมอันสมควรแก่ความผิดของเขา”
— โรม 1:26-27

ในพระธรรมโรมบทที่ 1-3 เปาโลโต้แย้งว่าทุก ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติ ต่างต้องการความรอด ในพระธรรมโรมบทที่ 2 เปาโลพูดกับคนยิวด้วยกันเอง ว่าแม้จะละเมิดพระบัญญัติเพียงข้อเดียว พวกเขาก็ต้องไปขอคืนดีกับพระเจ้า
ในพระธรรมโรมบทที่ 1 เปาโลกล่าวว่าคนต่างชาติก็ต้องการความรอดเช่นเดียวกัน เพราะแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีธรรมบัญญัติให้ละเมิด แต่ก็ได้ก้าวล่วงพระเจ้าด้วยความเชื่อที่ผิดๆ แทนที่จะนมัสการพระเจ้า พวกเขากลับบูชารูปเคารพ เพราะเหตุนั้น พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้พวกเขาลุ่มหลงในกิเลสตัณหาของตัวเอง
และพระเจ้ายัง “ทรงปล่อยเขาให้ประพฤติการโสโครกตามราคะตัณหาในใจของเขา” ทำให้พวกเขา “เร่าร้อนด้วยไฟราคะตัณหา” ซึ่งนำไปสู่เพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันในที่สุด
ในอรรถอธิบายโรม 1:26-27 John Chrysostom เขียนไว้ว่า “ความใคร่ทั้งหมดเกิดขึ้นจากความปรารถนาส่วนเกินที่ไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในขอบเขตอันสมควร”
เปาโลไม่ได้กำลังประณามคนที่เป็นเกย์ ว่าแย่กว่าคนที่ไม่ได้เป็นเกย์ แต่เขากำลังประณามการตามใจตัวเองที่เกินขอบเขต ซึ่งตรงกันข้ามกับความรู้จักพอประมาณ สังเกตได้จากที่เขาเน้นย้ำด้วยคำเช่น “ราคะ” และคำอธิบายที่ว่า ผู้คนได้ “แลกเปลี่ยน” และ “ละทิ้ง” เพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม
พระธรรมโรม 1 ไม่ได้คำนึงถึงความรักความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันแต่อย่างใด
เปาโลใช้คำกรีกเดียวกันใน โรม 1 นี้ใน 1 โครินธ์ 11 เช่นกัน ซึ่งเป็นบทที่ท่านพูดถึงเรื่องความยาวของผม แต่คริสเตียนส่วนใหญ่ทุกวันนี้เชื่อว่า คำที่เปาโลใช้ใน 1 โครินธ์ 11 อย่างเช่นคำว่า “ธรรมชาติ” (physis) หรือ “เรื่องน่าอาย” (atimia) มีจุดประสงค์เพื่ออธิบายหลักธรรมเนียมในยุคศตวรรษที่หนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นกฏสากลที่คริสเตียนต้องทำตาม
ที่จริง พระคัมภีร์มีการกล่าวถึงผู้ชายที่ไว้ผมยาว และไม่ได้พูดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าละอาย เช่นในกันดารวิถี 6:5 ที่ห้ามไม่ให้ชายผู้ปฏิญาณเป็นนาศีร์โกนศรีษะ และในผู้วินิจฉัย 16:17-19 จะเห็นได้ว่าการที่แซมสันถูกโกนศรีษะ กลับเป็นสิ่งที่น่าละอายในบริบทของท่าน เพราะพละกำลังของท่านมาจากความยาวของผม ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า สิ่งที่คนคิดว่าน่ายกย่องหรือน่าละอาย แตกต่างกันตามยุคสมัยและวัฒนธรรม

แล้วถ้าคำว่า “ธรรมชาติ” และ “เรื่องน่าอาย” ใน 1 โครินธ์ 11 มีนัยยะเชิงวัฒนธรรม เราจึงต้องตั้งคำถามว่า แล้วคำเหล่านี้ที่ถูกใช้ในโรม 1 เป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่ ในโลกสมัยโบราณ พฤติกรรมทางเพศระหว่างชายกับชายเป็นสิ่งที่น่าละอายและผิดธรรมชาติ เพราะคนที่เป็นฝ่ายรับถูกลดสถานะให้เป็นเหมือนผู้หญิง แต่เหตุผลดังกล่าวไม่ควรนำมาใช้กับคริสเตียน เพราะเราเชื่อว่าทั้งเพศชายและหญิงมีความเท่าเทียมกันในพระคริสต์
พระเจ้าลงโทษคนที่บูชารูปเคารพและไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า โดยปล่อยให้พวกเขาทำในสิ่งที่น่าละอาย
ในวัฒนธรรมสมัยนั้น การที่ผู้ชายเป็นฝ่ายรับ การให้ผู้หญิงคุมอำนาจ หรือการขาดการควบคุมตนเอง ล้วนทำให้เห็นว่า เพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน เป็นตัวแทนของความอัปยศและปัญหาตัณหาส่วนเกิน
ปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้พฤติกรรมรักร่วมเพศถูกใช้เป็นอุทาหรณ์ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมนุษย์เพิกเฉยที่จะถวายเกียรติพระเจ้า แต่ปัญหาที่เปาโลโฟกัสในพระธรรมโรม 1 ไม่สอดคล้องกับลักษณะความสัมพันธ์ของคู่รักเพศเดียวกันในปัจจุบัน ที่มีรากฐานของความรัก ความผูกพัน และความเสียสละ
คริสเตียนควรเห็นด้วยกับเปาโลว่า พฤติกรรมทางเพศที่เกิดจากความใคร่ที่เห็นแก่ตัวนั้นไม่ถูกต้อง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน ที่เกิดจากความรัก และการผูกพันธะว่าจะใช้ชีวิตร่วมกัน ควรต้องพิจารณาด้วยวิธีคิดที่ต่างออกไป