Based on: https://reformationproject.org/case/tradition/
ในช่วงประวัติศาสตร์ 1,600 ปีแรกของคริสตจักร คริสเตียนเกือบทุกคนเชื่อว่าโลกตั้งนิ่ง ไม่เคลื่อนที่อยู่ที่ศูนย์กลางของจักรวาล แต่การประดิษฐ์กล้องดูดาวทำให้คริสเตียนเปลี่ยนการตีความพระคัมภีร์

“ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า พระเจ้าผู้ทรงประทานจิตสำนึก เหตุผล และสติปัญญา จะปรารถนาให้เราละทิ้งสิ่งเหล่านั้น”
— กาลิเลโอ กาลิเลอิ 1564–1642
คนในยุคโบราณเชื่อว่า แรงดึงดูดหรือพฤติกรรมทางเพศต่อเพศเดียวกันนั้นเป็นกิเลสส่วนเกินที่อาจจะเกิดได้กับทุกคน เฉกเช่นความตะกละและการเมามาย ในสมัยนั้นไม่มีความเข้าใจว่ามันคือเพศวิถีของคนส่วนน้อย
ตัวอย่างงานเขียนยุคโบราณที่พูดถึงพฤติกรรมทางเพศของเพศเดียวกัน:
“ชีวิตที่หรูหราและปล่อยตามใจตัวก็ขึ้นกับกิเลสทางเพศอยู่ไม่น้อย ตัวอย่างเช่น คนที่ใช้ชีวิตแบบนั้นโหยหาความรักหลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่ตามกฎหมายแต่รวมไปถึงแบบที่ผิดกฎหมายด้วย ไม่ใช่แค่กับผู้หญิงแต่กับผู้ชายด้วย ตามจีบคนนั้นที คนนี้ที กับคนที่ว่างก็ไม่พอ ยังตามจีบคนที่เข้าถึงไม่ได้อีกด้วย”

“ชายผู้ซึ่งไม่รู้จักพอในเรื่องเหล่านี้ [มีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิง] เมื่อเขาพบว่ามันไม่มีความยาก ไม่มีแรงต้านจากกลุ่มนี้ เขาก็จะเบื่อหน่ายกับชัยชนะที่ได้มาง่ายๆ และพาลรังเกียจความรักของสตรีว่าพร้อมยอมง่ายเกินไป ซึ่งคือมีความเป็นหญิงเกินไป จึงเบนแผนศึกต่อชายชาตรี กระเหี้ยนกระหือรือจะทำให้ชายหนุ่มว่าที่นักปกครอง ผู้พิพากษา และนายพล แปดเปื้อน โดยเชื่อว่าความสุขแบบนั้นจะลำบากและหาได้ยาก”

คำบรรยายเหล่านี้ไม่เพียงจะแตกต่างจากเพศวิถีของคนรักเพศเดียวกันแล้ว ยังแตกต่างจากเพศวิถีแบบรักหลายเพศ (bisexual) อีกด้วย เนื่องจากคนสมัยนั้นได้อธิบายพฤติกรรมของการรักเพศเดียวกันว่าเกิดจากราคะที่มากเกิน ไม่ใช่ความต้องการทางเพศปกติทั่วไป


หนังสือชนะรางวัลของ Nissinen ได้สำรวจความคิดเห็นของโลกโบราณในเรื่องของความรักระหว่างเพศเดียวกัน (homoeroticism) โดยมุ่งเน้นที่พระคัมภีร์และวัฒนธรรมแวดล้อม อาทิ เมโสโปเตเมีย กรีซ โรม และ อิสราเอล Nissinen กล่าวถึงแหล่งข้อมูลและบริบททางประวัตศาสตร์ต่าง ๆ ได้กระชับและอ่านง่าย
“แต่ละคู่คือประเภทของส่วนเกิน และปรากฏว่านิทานไม่ได้พูดถึงคนที่เป็นเกย์หรือสเตรตว่ามาจากไหน แต่พูดถึงกิเลสตัณหาส่วนเกินแบบต่างๆ มาจากไหน”
คริสเตียนที่สนับสนุนชาว LGBTQ ไม่ได้ล้มล้างประเพณีที่คริสเตียนปฏิบัติต่อคนกลุ่มนี้ เพราะคริสเตียนไม่มีประเพณีปฏิบัติต่อชาว LGBTQ จนกระทั่งไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมานี่เอง